วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เว็บหลอกลวง
ที่มา
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ไข้หวัด 2009
นพ.สัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี
แนะวิธีการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัด 2009"กระทรวงสาธารณสุขได้กําหนดแนว ทางการปฏิบัติและการดูแลสุขภาพสําหรับประชาชนในหลายมาตรการ โดยเน้นความสําคัญที่การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลภายใต้สโลแกน "กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ" และสวมหน้ากากอนามัยเมื่อเป็นไข้หวัด หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้มีอาการไอ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด"...สําหรับผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศที่เกิดการระบาด หากมีอาการไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัวมาก ฯลฯ ภายใน 7 วันหลังจากเดิน ทางกลับ ต้องรีบปรึกษาแพทย์ และควรสวมหน้ากากอนามัย ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น และงดการเข้า ไปในแหล่งชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อสู่ผู้อื่น"ห้างสรรพสินค้า" แหล่งเสี่ยงติดหวัด 2009"สวนดุสิตโพล" เผยผลสํารวจความเห็นคนไทย จํานวน 1,143 คน ระหว่างวันที่ 17-18 มิถุนายน 2552 เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ุใหม่ 2009 ส่วนใหญ่เห็นว่า
"ห้างสรรพสินค้า" เป็นแหล่งเสี่ยงติดเชื้อไข้หวัด 2009 มากที่สุดอันดับที่ 1 ร้อยละ 32।44 ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าอันดับที่ 2 ร้อยละ 31।25 ได้แก่ โรงเรียนอันดับที่ 3 ร้อยละ 23।53 ได้แก่ โรงภาพยนตร์อันดับที่ 4 ร้อยละ 7।83 ได้แก่ ร้านอาหารอันดับที่ 5 ร้อยละ 3.95 ได้แก่ อื่นๆ ♦
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ยุติความรุนแรง เพื่อเด็ก - สตรีไทย
“สิ่งเล็ก ๆ ที่เราช่วยกันทำในวันนี้ จะช่วยชีวิตเด็กผู้หญิง และผู้หญิง ได้อีกเป็นจำนวนมาก เป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ ที่เราทำได้ที่หน้าจอ เดี๋ยวนี้…” …นี่เป็นข้อความส่วนหนึ่งจากการรณรงค์ตามโครงการ “Say NO to Violence against Women” โดยกองทุนการพัฒนาเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเฟม) ในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการ “ต่อต้านความรุนแรงต่อเด็ก-ผู้หญิง”ทั้งนี้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงมีพระกรุณาธิคุณ ทรงตอบรับเป็น “ทูตสันถวไมตรี (Goodwill Ambassador)” ให้กับยูนิเฟม ในโครงการดังกล่าวนี้ โดย ดร।จีน เดอคูน่า ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ยูนิเฟม ระบุว่า… “ยูนิเฟมรู้สึกสำนึกในพระกรุณาธิคุณ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ยังได้ทรงลงพระนามในโปสต์การ์ด เพื่อทรงเป็น 1 เสียงที่ร่วมต่อต้านความรุนแรงต่อเด็ก-ผู้หญิง ทรงเห็นความสำคัญถึงปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศไทยและทั่วโลก ที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน” พระองค์ทรงริเริ่ม “โครงการกำลังใจ” ขึ้นมา และประทานความช่วยเหลือแก่กลุ่มผู้ต้องขังสตรีและเด็กติดผู้ต้องขัง ตามทัณฑสถานต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางและมีความต้องการพิเศษ นอกจากนี้ ยังประทานความช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ต้องขังกลับตัวเป็นพลเมืองดี ภายหลังจากพ้นโทษแล้ว นอกจากนี้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ยังได้ประทานโปสต์การ์ดให้กับตัวแทนจากกระทรวงต่าง ๆ รวมถึงองค์กรภาครัฐและเอกชน รวมถึงมูลนิธิเพื่อผู้หญิง ในการร่วมลงชื่อในโปสต์การ์ด “ยุติความรุนแรงต่อเด็ก-ผู้หญิง” ความรุนแรงต่อเด็ก-ผู้หญิง…เป็นอีกปัญหาสำคัญในประเทศไทย…ปัญหานี้มีแนวโน้มเพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อย ๆ จากรายงานสถานการณ์สตรีไทยประจำปี 2551 โดยสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับข้อมูลสถิติเด็กและสตรีที่ประสบความรุนแรง ในส่วนของเด็กและสตรีที่ประสบความรุนแรงในครอบครัว ในปี 2549 สตรี เด็กผู้หญิง และรวมถึงเด็กผู้ชาย ที่ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เห็นได้จาก จำนวนผู้รับบริการศูนย์พึ่งได้ (OSCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง มีจำนวนสูงขึ้นกว่าเท่าตัว !! จากปี 2547 ที่มีผู้ถูกกระทำรุนแรงเฉลี่ยวันละ 19 ราย เพิ่มเป็นเฉลี่ยวันละ 39 ราย ในปี 2549 นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กและสตรีที่ถูกกระทำทารุณและเข้ารับการช่วยเหลือจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยปี 2547 มี 469 ราย ในปี 2549 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเป็น 837 ราย โดยผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากการ “ถูกทารุณทางเพศ” และจากการสำรวจอนามัยการเจริญพันธุ์ปี 2549 ก็พบว่า มีจำนวนสตรีสมรสอายุ 15-49 ปี เคย “ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ” ในรอบปีที่ผ่านมา จำนวนมากถึง 1,044,942 คน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ชี้ถึงสถานการณ์ปัญหาได้เป็นอย่างดี
และชัดเจนขึ้นอีกจากคดี “ข่มขืนกระทำชำเรา” โดยข้อมูลจากสำนักงานศาลยุติธรรมที่รวบรวมคดีจากศาลจังหวัดในความผิดเกี่ยวกับ การข่มขืนกระทำชำเรา มาตราที่ 276, 277-ทวิ, 277 ตรี, 278 และมาตราที่ 285 คดีความผิดเกี่ยวกับ การข่มขืนกระทำชำเรา ที่พิจารณาเสร็จสิ้นของศาลชั้นต้น และศาลเยาวชนและครอบครัว ทั่วราชอาณาจักร มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง !! โดยในปี 2549 มีคดีเพิ่มขึ้นจากปี 2545 เกือบเท่าตัว จาก 4,896 คดี เป็น 9,653 คดี ขณะที่จำนวนเด็กและสตรีที่ขอรับความช่วยเหลือในสถานสงเคราะห์ของ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพิ่มขึ้นจาก 15,750 คน ในปี 2547 เป็น 18,617 คน ในปี 2549 “โครงการเกี่ยวกับการยุติความรุนแรงต่อสตรีในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์คือป้องกันด้วยการแก้ไขทัศนคติหรืออคติทางสังคม อันเป็นบ่อเกิดของความต้องการผู้หญิงเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ และบ่อเกิดของความรุนแรงต่อสตรี กลุ่มเป้าหมายคือวัยรุ่น ผู้ชาย สื่อมวลชน ชุมชน และองค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ รณรงค์บนหลักการเปลี่ยนแปลงหรือป้องกันด้วยการสร้างค่านิยมใหม่ และทัศนคติที่เคารพสิทธิของผู้หญิง” …ดร.จีนระบุ พร้อมทั้งยังระบุด้วยว่า… ไทยจัดว่าเป็นประเทศที่ตื่นตัวและพร้อมที่จะแก้ปัญหานี้ ดังนั้น ยูนิเฟมจึงต้องการ “รวบรวมรายชื่อคนไทยให้ครบ 5 แสนชื่อ” เพื่อส่งมอบต่อเลขาธิการสหประชาชาติ ในวันที่ 25 พ.ย. 2551 ซึ่งเป็นวันสากลแห่งการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง ซึ่ง “จะทำให้ไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่ให้การสนับสนุนและตระหนักถึงการแก้ปัญหาสิทธิสตรีมากที่สุด” และจะเป็นการสร้างแรงกระตุ้นต่อประเทศอื่น ๆ ด้วย “จึงขอเชิญชวนประชาชนคนไทยร่วมลงชื่อเพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงได้ที่เว็บไซต์ www.novaw.or.th/sign ” …ผอ.สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ยูนิเฟม กล่าว ทั้งนี้ เว็บไซต์นี้จะพร้อมให้ลงชื่อได้ในวันสองวันนี้ และ 23-26 ต.ค. ที่เซ็นทรัลเวิลด์ก็จะมีบูธให้คนไทยลงชื่อด้วย สิทธิสตรีไทย…โดยเฉพาะที่ยังเป็นเด็ก…ต้องการการปกป้อง ลงชื่อที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต…ก็ช่วยได้ และนอกจากนี้ก็จะมีอีกหลายที่-หลายจุด…ที่เปิดให้ลงชื่อ คนไทยทุกทิศทั่วประเทศอย่ารอช้า…ช่วยกันหน่อย !!!.
ขอเชิญชวนให้ทุกท่าน โปรดร่วมลงนาม เพื่อเป็น 1 เสียง รวมพลังที่จะร่วมกันต่อต้าน การใช้ความรุนแรง และล่วงละเมิด ต่อเด็กและผู้หญิง อันเป็นการแสดงจุดยืนของคนไทย ให้เป็นที่ประจักษ์ แก่ประชาคมโลก และเป็นที่ยอมรับของ สหประชาชาติ ให้ประเทศไทย อยู่ในชั้นแนวหน้า ของประเทศในภูมิภาคนี้ ที่ให้ความสำคัญ ในเรื่องดังกล่าว
ที่มา: Daily News Online
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ในที่นี้ ผู้ฉลาดจะต้อง ใคร่ครวญว่า เคยให้สัตว์ทั้งปวงแล้ว ไม่เกิดอนุภาพมาก ไม่มีอนุภาพทิพย์เกิดขึ้นแก่เขามาก จงให้แก่สัตว์ทั้งปวงแต่เป็นที่ๆ
เช่น ให้อุทิศแก่เทวดาที่อยู่ใกล้มวลหมู่มนุษย์ ผู้รักษามนุษย์ แม้อุทิศบุญเช่นนี้ ด้วยการมีสติปัญญาเช่นนี้ จะปรากฏง่ายแก่เทพยดา... แต่ปรากฏยากแก่เหล่าเปรต เหล่าภูตผีต่างๆ ทั้งปวงให้จำไว้...
เหล่าเปรต เหล่าภูตผี ปีศาจ ยักษ์ มาร จะต้องอุทิศส่วนกุศลด้วยพลังแห่งสิ่งของเท่านั้น สมควรแก่เขาเหล่านี้เป็นอย่างดี สำเร็จผลเป็นอย่างดี
แต่ปัญญาที่เกิดจาก การฟังธรรมหรือแสดงธรรม เมื่อให้ถึงเหล่าเทพเทวาทั้งหลายนั้นจนไปถึงพรหม จนถึงสุทธาวาสพรหม นั้นถึงได้ง่าย พลังแผ่เมตตาถึงพรหมมากกว่าเทวดา ถึงเทวดาน้อยกว่าพรหม และจะถึงเทวดาชั้นต่ำๆ นี้ น้อยกว่าเทวดาชั้นสูง จะถึงเปรตถึงผี ถึงสัตว์อื่นๆ นั้นนานมาก จึงจะปรากฏ เพราะมันเป็นเป็นเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่อุทิศด้วยสิ่งของนี้ได้มาก ฉะนั้น... ข้าจึงขอยืนยันตามตำราว่า
"จะต้องอุทิศบุญให้เป็นที่ แม้จะทั้งหลายทั้งปวง... ก็ต้องให้หลายๆ ครั้ง เป็นทั้งหลายเช่นนั้น"
ความเชื่อเดิมๆ ที่เข้าใจผิดกัน ในเรื่องการอุทิศบุญและการกรวดน้ำพระจะบอกว่าการส่งเช่นนี้ ถึงอย่างฉับพลัน ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง แปลว่าห้วงน้ำที่ไหลลงทะเล เต็มได้ฉันใด ทานที่ส่งไปในโลกทิพย์ได้ฉันนั้น เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานังอุปะกัปปติ . ถึงสัตว์ทั้งหลายในโลกทิพย์อย่างรวดเร็ว อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ ฉับพลันนะเวลานั้น ท่านบอกว่ามันฉับพลันนะ เวลานั้นไม่ได้ว่าเวลาพระว่า ยะถา วะริวะหา แล้วมันจึงจะไป เข้าใจไม๊ล่ะ ฟังให้เข้าใจนะ ไม่ใช่ไปเพราะคำพระพูด ไปเพราะพวกเธอคิดส่ง เข้าใจไม๊ นี่แหละให้มันชัดเจน มันจะไม่ต้อง เสียเวลาพอมันจ้าขึ้นในพวกเราแล้ว เราจะได้ส่งทันที พอถวายของเนี่ย สมมุติ ว่าปั๊บ บุญนี้ ให้ถึง เทวดาผู้รักษา ข้าพเจ้า มันก็แว๊บ จากเรานี่ วับ วับ ถึงเขา เขาก็ได้รับทันที เข้าใจไม๊ "
คำเบิกบุญแบบรวบรัด
วันจันทร์ที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙
ในวันนี้ได้มีการปรับปรุงคำเบิกบุญให้รวบรัดยิ่งขึ้น เพื่อให้เหมาะกับทุกๆคน ที่แม้จะเป็นคนความจำไม่ดีก็ให้คิดได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้ที่ความจำดีอยู่แล้วก็จะสามารถเบิกมาจ่ายได้อย่างรวดเร็ว-ได้มากรอบยิ่งขึ้น โดยให้คิดดังนี้
ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้ญาติ ให้เทวดาที่รักษา ให้นายเวร ให้เชื้อโรค ของข้า
*ให้ตั้งใจคิดตามนี้ทุกท่าน ทั้งคน ทั้งเทพ-ผี-ปีศาจ-เปรตฯ และบอกผู้อื่นตามนี้อย่าบอกคำอื่นในการคิดเบิกบุญจ่าย*
ที่มา www.samyaek.com