วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เรื่องของในหลวง พ่อผู้เป็นที่รัก
เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้
1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม 'ภูมิพล'ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า 'H.H Bhummibol Mahidol'หมายเลขประจำตัว 449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือ สมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า 'แม่'
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า'บ๊อบบี้'
12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก 'การให้' โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า 'กระป๋องคนจน' เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก 'เก็บภาษี' หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า 'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน'
17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก 'การเล่น' สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ 'แสงเทียน' จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง 'เราสู้'
26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโ ปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง 'นายอินทร์' และ 'ติโต' ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ 'พระมหาชนก' ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น'กีฬาซีเกมส์') ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ 'กังหันชัยพัฒนา' เมื่อปี 2536
33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร 36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า'น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริ กิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
37. หลังอภิเษกสมรส ทรง'ฮันนีมูน'ที่หัวหิน
38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรท่ามกลางสายฝน
49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า 'ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใก ล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า 'นายหลวง' ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า 'ทำราชการ'
68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า'อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก'
70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ทายแม่นถึง 25 รายนายแพทย์เดวิด โดซ่า จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบราวน์ สหรัฐอเมริกา ให้สัม ภาษณ์ในวารสารการแพทย์นิว อิงแลนด์ว่า ออสการ์ทำนายไม่ค่อยผิดพลาด เพราะมันเข้าใจว่า บุคคลที่มันไปเยี่ยมนั้นกำลังจะลาจากโลกนี้ไป“ญาติๆ ของผู้ตาย รู้สึกซาบซึ้งที่ออสการ์ใช้เวลาอยู่เป็นเพื่อนกับบุคคลที่พวกเขารัก ทำให้ผู้เสียชีวิตไม่รู้สึกเหงา เดียวดาย”ออสการ์ทำนายว่า ผู้ป่วยผู้นั้นจะเสียชีวิตภายใน 4 ชั่วโมง มาอย่างถูกต้องแล้วถึง 25 ราย ทำให้พยาบาลมีเวลาโทรศัพท์ไปหาญาติ ให้มาดูใจผู้เสียชีวิตได้อย่างทันท่วงที
อายุ 6 เดือน แววทำนายเริ่มฉายแสงออสการ์ เกิดที่ “สเตียร์ เฮาส์ เนิร์สซิ่ง แอนด์ รีแฮบลิบิเทชั่น เซ็นเตอร์” เมืองโพวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลคนชราที่ป่วยหนัก โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน มันนอนอยู่ประจำที่ชั้น 3เพียง 6 เดือน แพทย์และพยาบาลที่นี่ ก็เริ่มสังเกตว่า ออสการ์มีความสามารถพิเศษในการคาดเดาว่า ผู้ใดกำลังจะเสียชีวิต มันจะเข้าไปดมและสังเกตผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด จากนั้นมันจะนั่งอยู่ใกล้ๆ จวบจนผู้นั้นถึงวาระสุดท้ายแพทย์หญิงโจอัน ทีโน จากมหาวิทยาลัยบราวน์ ซึ่งรักษาผู้ป่วยอยู่ที่ศูนย์ดูแลคนชราแห่งนี้ และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยใกล้ตาย กล่าวว่า ออสการ์มีความสามารถทำนายว่า ผู้ป่วยคนใดจะเสียชีวิตได้มากกว่าผู้ที่ทำงานที่ศูนย์ มันจะทำงานอย่างจริงจัง และมันไม่ใช่แมวที่ชอบไปจิ๊จ๊ะกับคน อย่างแมวตัวอื่นๆ
หมอซูฮกความสามารถของออสการ์แพทย์หญิงทีโน เริ่มเชื่อความสามารถของออสการ์ หลังจากที่มันทำนายถึงผู้เสียชีวิตถูกเป็นศพที่ 13 เมื่อออสการ์ไปที่ห้องผู้ป่วย เธอก็เข้าไปในห้องผู้ป่วยคนนั้นด้วยเธอสังเกตว่า ผู้ป่วยไม่กินอาหาร หายใจลำบาก ขาเริ่มมีสีคล้ำ ซึ่งเป็นเครื่องหมาย ที่แสดงว่า ชีวิตของผู้นั้นใกล้มาถึงจุดจบ
สำหรับผู้ป่วยรายนี้ ออสการ์เข้าไปอยู่ด้วยเพียง 2 ชั่วโมง ก็สิ้นลม“ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ออสการ์ไปเยี่ยมป่วยหนัก จนบางทีอาจจะไม่ทราบว่า มันอยู่ในห้อง จึงไม่ได้ตระหนักว่า มันเป็นแมวมัจจุราช ครอบครัวของผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะรู้สึกขอบคุณที่มันมาเตือนล่วงหน้า แต่มีญาติผู้เสียชีวิตรายหนึ่ง ขอร้องให้พยาบาลนำออส การ์ออกไปนอกห้อง เพราะต้องการอำลาผู้เป็นที่รักตามลำพัง ปรากฎว่า เมื่อออสการ์ถูกอุ้มออกมาอยู่นอกห้องแล้ว มันเดินงุ่นง่านและส่งเสียงร้องเหมียวๆๆ มีน้ำเสียงเหมือนไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา”ขณะที่กรณีของผู้ป่วยที่ชื่อนางเคนั้น พยาบาลคนหนึ่งเข้ามาตรวจร่างกาย และพบว่า ออสการ์อยู่ในห้อง เธอจึงบันทึกว่า ออสการ์มา จากนั้นเธอรีบไปค้นประวัติการแพทย์และหาเบอร์โทรศัพท์ญาติ เพื่อแจ้งว่า นางเคอาจเสียชีวิต ญาติๆ มาถึงศูนย์ภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นนางเคจึงเสียชีวิตเมื่อหลานชายนางเคถามคุณแม่ว่า ทำไมถึงมีแมวอยู่ในห้องคุณแม่ตอบว่า “ออสการ์มาช่วยนำคุณยายไปสวรรค์”
อธิบายไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่มีใครทราบว่า สิ่งที่ออสการ์ทำนั้น สามารถอธิบายโดยอ้างอิงถึงหลักวิทยาศาสตร์ได้หรือไม่ หรือแมวจะสามารถดมกลิ่นหรืออ่านลักษณะอาการบางอย่างในตัวผู้ใกล้เสียชีวิตออก หรือสังเกตความประพฤติของพยาบาลซึ่งเป็นผู้เลี้ยงมันมาสัตวแพทย์ นิโคลัส ด็อดแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านความประพฤติสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยทัฟฟ์ กล่าวหลังจากทราบเรื่องของออสการ์ว่า ทางเดียวที่จะทราบว่าออสการ์ทำนายว่าใครกำลังจะเสียชีวิตนั้น คือการสังเกตออสการ์ ว่ามันแบ่งเวลาอยู่กับผู้ที่ยังมีชีวิตและคนกำลังจะตายอย่างไรส่วน สัตวแพทย์โธมัส เกรฟส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแมว จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ กล่าวว่า ออสการ์เป็นแมวที่มีความสามารถพิเศษ แม้ตามหลักวิชาการแล้ว จะไม่เคยมีการบันทึกว่า แมวมีสัญชาตญาณที่จะรู้ว่า ใครใกล้จะเสียชีวิต เพราะยากที่จะทำการศึกษา แต่เป็นไปได้ว่า ทั้งหมาและแมวมีสัญชาตญาณและการรับรู้ ในสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้สำหรับผู้ที่ทำงานอยู่ที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยแห่งนี้ “ออสการ์” ไม่ใช่แมวมัจจุราชสำหรับพวกเขา แต่มันมีบุญคุณที่ทำให้ญาติพี่น้องมีโอกาสมาดูใจและกล่าวคำอำลา จวบจนลมหายใจสุดท้าย
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เว็บหลอกลวง
ที่มา
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ไข้หวัด 2009
นพ.สัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี
แนะวิธีการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัด 2009"กระทรวงสาธารณสุขได้กําหนดแนว ทางการปฏิบัติและการดูแลสุขภาพสําหรับประชาชนในหลายมาตรการ โดยเน้นความสําคัญที่การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลภายใต้สโลแกน "กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ" และสวมหน้ากากอนามัยเมื่อเป็นไข้หวัด หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้มีอาการไอ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด"...สําหรับผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศที่เกิดการระบาด หากมีอาการไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัวมาก ฯลฯ ภายใน 7 วันหลังจากเดิน ทางกลับ ต้องรีบปรึกษาแพทย์ และควรสวมหน้ากากอนามัย ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น และงดการเข้า ไปในแหล่งชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อสู่ผู้อื่น"ห้างสรรพสินค้า" แหล่งเสี่ยงติดหวัด 2009"สวนดุสิตโพล" เผยผลสํารวจความเห็นคนไทย จํานวน 1,143 คน ระหว่างวันที่ 17-18 มิถุนายน 2552 เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ุใหม่ 2009 ส่วนใหญ่เห็นว่า
"ห้างสรรพสินค้า" เป็นแหล่งเสี่ยงติดเชื้อไข้หวัด 2009 มากที่สุดอันดับที่ 1 ร้อยละ 32।44 ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าอันดับที่ 2 ร้อยละ 31।25 ได้แก่ โรงเรียนอันดับที่ 3 ร้อยละ 23।53 ได้แก่ โรงภาพยนตร์อันดับที่ 4 ร้อยละ 7।83 ได้แก่ ร้านอาหารอันดับที่ 5 ร้อยละ 3.95 ได้แก่ อื่นๆ ♦
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ยุติความรุนแรง เพื่อเด็ก - สตรีไทย
“สิ่งเล็ก ๆ ที่เราช่วยกันทำในวันนี้ จะช่วยชีวิตเด็กผู้หญิง และผู้หญิง ได้อีกเป็นจำนวนมาก เป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ ที่เราทำได้ที่หน้าจอ เดี๋ยวนี้…” …นี่เป็นข้อความส่วนหนึ่งจากการรณรงค์ตามโครงการ “Say NO to Violence against Women” โดยกองทุนการพัฒนาเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเฟม) ในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการ “ต่อต้านความรุนแรงต่อเด็ก-ผู้หญิง”ทั้งนี้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงมีพระกรุณาธิคุณ ทรงตอบรับเป็น “ทูตสันถวไมตรี (Goodwill Ambassador)” ให้กับยูนิเฟม ในโครงการดังกล่าวนี้ โดย ดร।จีน เดอคูน่า ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ยูนิเฟม ระบุว่า… “ยูนิเฟมรู้สึกสำนึกในพระกรุณาธิคุณ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ยังได้ทรงลงพระนามในโปสต์การ์ด เพื่อทรงเป็น 1 เสียงที่ร่วมต่อต้านความรุนแรงต่อเด็ก-ผู้หญิง ทรงเห็นความสำคัญถึงปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศไทยและทั่วโลก ที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน” พระองค์ทรงริเริ่ม “โครงการกำลังใจ” ขึ้นมา และประทานความช่วยเหลือแก่กลุ่มผู้ต้องขังสตรีและเด็กติดผู้ต้องขัง ตามทัณฑสถานต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางและมีความต้องการพิเศษ นอกจากนี้ ยังประทานความช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ต้องขังกลับตัวเป็นพลเมืองดี ภายหลังจากพ้นโทษแล้ว นอกจากนี้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ยังได้ประทานโปสต์การ์ดให้กับตัวแทนจากกระทรวงต่าง ๆ รวมถึงองค์กรภาครัฐและเอกชน รวมถึงมูลนิธิเพื่อผู้หญิง ในการร่วมลงชื่อในโปสต์การ์ด “ยุติความรุนแรงต่อเด็ก-ผู้หญิง” ความรุนแรงต่อเด็ก-ผู้หญิง…เป็นอีกปัญหาสำคัญในประเทศไทย…ปัญหานี้มีแนวโน้มเพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อย ๆ จากรายงานสถานการณ์สตรีไทยประจำปี 2551 โดยสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับข้อมูลสถิติเด็กและสตรีที่ประสบความรุนแรง ในส่วนของเด็กและสตรีที่ประสบความรุนแรงในครอบครัว ในปี 2549 สตรี เด็กผู้หญิง และรวมถึงเด็กผู้ชาย ที่ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เห็นได้จาก จำนวนผู้รับบริการศูนย์พึ่งได้ (OSCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง มีจำนวนสูงขึ้นกว่าเท่าตัว !! จากปี 2547 ที่มีผู้ถูกกระทำรุนแรงเฉลี่ยวันละ 19 ราย เพิ่มเป็นเฉลี่ยวันละ 39 ราย ในปี 2549 นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กและสตรีที่ถูกกระทำทารุณและเข้ารับการช่วยเหลือจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยปี 2547 มี 469 ราย ในปี 2549 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเป็น 837 ราย โดยผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากการ “ถูกทารุณทางเพศ” และจากการสำรวจอนามัยการเจริญพันธุ์ปี 2549 ก็พบว่า มีจำนวนสตรีสมรสอายุ 15-49 ปี เคย “ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ” ในรอบปีที่ผ่านมา จำนวนมากถึง 1,044,942 คน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ชี้ถึงสถานการณ์ปัญหาได้เป็นอย่างดี
และชัดเจนขึ้นอีกจากคดี “ข่มขืนกระทำชำเรา” โดยข้อมูลจากสำนักงานศาลยุติธรรมที่รวบรวมคดีจากศาลจังหวัดในความผิดเกี่ยวกับ การข่มขืนกระทำชำเรา มาตราที่ 276, 277-ทวิ, 277 ตรี, 278 และมาตราที่ 285 คดีความผิดเกี่ยวกับ การข่มขืนกระทำชำเรา ที่พิจารณาเสร็จสิ้นของศาลชั้นต้น และศาลเยาวชนและครอบครัว ทั่วราชอาณาจักร มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง !! โดยในปี 2549 มีคดีเพิ่มขึ้นจากปี 2545 เกือบเท่าตัว จาก 4,896 คดี เป็น 9,653 คดี ขณะที่จำนวนเด็กและสตรีที่ขอรับความช่วยเหลือในสถานสงเคราะห์ของ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพิ่มขึ้นจาก 15,750 คน ในปี 2547 เป็น 18,617 คน ในปี 2549 “โครงการเกี่ยวกับการยุติความรุนแรงต่อสตรีในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์คือป้องกันด้วยการแก้ไขทัศนคติหรืออคติทางสังคม อันเป็นบ่อเกิดของความต้องการผู้หญิงเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ และบ่อเกิดของความรุนแรงต่อสตรี กลุ่มเป้าหมายคือวัยรุ่น ผู้ชาย สื่อมวลชน ชุมชน และองค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ รณรงค์บนหลักการเปลี่ยนแปลงหรือป้องกันด้วยการสร้างค่านิยมใหม่ และทัศนคติที่เคารพสิทธิของผู้หญิง” …ดร.จีนระบุ พร้อมทั้งยังระบุด้วยว่า… ไทยจัดว่าเป็นประเทศที่ตื่นตัวและพร้อมที่จะแก้ปัญหานี้ ดังนั้น ยูนิเฟมจึงต้องการ “รวบรวมรายชื่อคนไทยให้ครบ 5 แสนชื่อ” เพื่อส่งมอบต่อเลขาธิการสหประชาชาติ ในวันที่ 25 พ.ย. 2551 ซึ่งเป็นวันสากลแห่งการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง ซึ่ง “จะทำให้ไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่ให้การสนับสนุนและตระหนักถึงการแก้ปัญหาสิทธิสตรีมากที่สุด” และจะเป็นการสร้างแรงกระตุ้นต่อประเทศอื่น ๆ ด้วย “จึงขอเชิญชวนประชาชนคนไทยร่วมลงชื่อเพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงได้ที่เว็บไซต์ www.novaw.or.th/sign ” …ผอ.สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ยูนิเฟม กล่าว ทั้งนี้ เว็บไซต์นี้จะพร้อมให้ลงชื่อได้ในวันสองวันนี้ และ 23-26 ต.ค. ที่เซ็นทรัลเวิลด์ก็จะมีบูธให้คนไทยลงชื่อด้วย สิทธิสตรีไทย…โดยเฉพาะที่ยังเป็นเด็ก…ต้องการการปกป้อง ลงชื่อที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต…ก็ช่วยได้ และนอกจากนี้ก็จะมีอีกหลายที่-หลายจุด…ที่เปิดให้ลงชื่อ คนไทยทุกทิศทั่วประเทศอย่ารอช้า…ช่วยกันหน่อย !!!.
ขอเชิญชวนให้ทุกท่าน โปรดร่วมลงนาม เพื่อเป็น 1 เสียง รวมพลังที่จะร่วมกันต่อต้าน การใช้ความรุนแรง และล่วงละเมิด ต่อเด็กและผู้หญิง อันเป็นการแสดงจุดยืนของคนไทย ให้เป็นที่ประจักษ์ แก่ประชาคมโลก และเป็นที่ยอมรับของ สหประชาชาติ ให้ประเทศไทย อยู่ในชั้นแนวหน้า ของประเทศในภูมิภาคนี้ ที่ให้ความสำคัญ ในเรื่องดังกล่าว
ที่มา: Daily News Online
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ในที่นี้ ผู้ฉลาดจะต้อง ใคร่ครวญว่า เคยให้สัตว์ทั้งปวงแล้ว ไม่เกิดอนุภาพมาก ไม่มีอนุภาพทิพย์เกิดขึ้นแก่เขามาก จงให้แก่สัตว์ทั้งปวงแต่เป็นที่ๆ
เช่น ให้อุทิศแก่เทวดาที่อยู่ใกล้มวลหมู่มนุษย์ ผู้รักษามนุษย์ แม้อุทิศบุญเช่นนี้ ด้วยการมีสติปัญญาเช่นนี้ จะปรากฏง่ายแก่เทพยดา... แต่ปรากฏยากแก่เหล่าเปรต เหล่าภูตผีต่างๆ ทั้งปวงให้จำไว้...
เหล่าเปรต เหล่าภูตผี ปีศาจ ยักษ์ มาร จะต้องอุทิศส่วนกุศลด้วยพลังแห่งสิ่งของเท่านั้น สมควรแก่เขาเหล่านี้เป็นอย่างดี สำเร็จผลเป็นอย่างดี
แต่ปัญญาที่เกิดจาก การฟังธรรมหรือแสดงธรรม เมื่อให้ถึงเหล่าเทพเทวาทั้งหลายนั้นจนไปถึงพรหม จนถึงสุทธาวาสพรหม นั้นถึงได้ง่าย พลังแผ่เมตตาถึงพรหมมากกว่าเทวดา ถึงเทวดาน้อยกว่าพรหม และจะถึงเทวดาชั้นต่ำๆ นี้ น้อยกว่าเทวดาชั้นสูง จะถึงเปรตถึงผี ถึงสัตว์อื่นๆ นั้นนานมาก จึงจะปรากฏ เพราะมันเป็นเป็นเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่อุทิศด้วยสิ่งของนี้ได้มาก ฉะนั้น... ข้าจึงขอยืนยันตามตำราว่า
"จะต้องอุทิศบุญให้เป็นที่ แม้จะทั้งหลายทั้งปวง... ก็ต้องให้หลายๆ ครั้ง เป็นทั้งหลายเช่นนั้น"
ความเชื่อเดิมๆ ที่เข้าใจผิดกัน ในเรื่องการอุทิศบุญและการกรวดน้ำพระจะบอกว่าการส่งเช่นนี้ ถึงอย่างฉับพลัน ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง แปลว่าห้วงน้ำที่ไหลลงทะเล เต็มได้ฉันใด ทานที่ส่งไปในโลกทิพย์ได้ฉันนั้น เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานังอุปะกัปปติ . ถึงสัตว์ทั้งหลายในโลกทิพย์อย่างรวดเร็ว อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ ฉับพลันนะเวลานั้น ท่านบอกว่ามันฉับพลันนะ เวลานั้นไม่ได้ว่าเวลาพระว่า ยะถา วะริวะหา แล้วมันจึงจะไป เข้าใจไม๊ล่ะ ฟังให้เข้าใจนะ ไม่ใช่ไปเพราะคำพระพูด ไปเพราะพวกเธอคิดส่ง เข้าใจไม๊ นี่แหละให้มันชัดเจน มันจะไม่ต้อง เสียเวลาพอมันจ้าขึ้นในพวกเราแล้ว เราจะได้ส่งทันที พอถวายของเนี่ย สมมุติ ว่าปั๊บ บุญนี้ ให้ถึง เทวดาผู้รักษา ข้าพเจ้า มันก็แว๊บ จากเรานี่ วับ วับ ถึงเขา เขาก็ได้รับทันที เข้าใจไม๊ "
คำเบิกบุญแบบรวบรัด
วันจันทร์ที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙
ในวันนี้ได้มีการปรับปรุงคำเบิกบุญให้รวบรัดยิ่งขึ้น เพื่อให้เหมาะกับทุกๆคน ที่แม้จะเป็นคนความจำไม่ดีก็ให้คิดได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้ที่ความจำดีอยู่แล้วก็จะสามารถเบิกมาจ่ายได้อย่างรวดเร็ว-ได้มากรอบยิ่งขึ้น โดยให้คิดดังนี้
ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้ญาติ ให้เทวดาที่รักษา ให้นายเวร ให้เชื้อโรค ของข้า
*ให้ตั้งใจคิดตามนี้ทุกท่าน ทั้งคน ทั้งเทพ-ผี-ปีศาจ-เปรตฯ และบอกผู้อื่นตามนี้อย่าบอกคำอื่นในการคิดเบิกบุญจ่าย*
ที่มา www.samyaek.com